วันพุธที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

การดำรงชีวิตของผีเสื้อ

การดำรงชีวิตของผีเสื้อ
ชีวิตของผีเสื้อเริ่มจาก ไข่ แล้วไข่จะฟักออกเป็นตัวหนอน ซึ่งเรามักเรียกกันว่า ตัวแก้ว ต่อมาตัวแก้วจะหยุดกินอาหาร และไม่เคลื่อนไหว กลายสภาพเป็น ดักแด้ และในไม่ช้าดักแด้จะกลายสภาพเป็น ผีเสื้อ สีสวยเที่ยวบินว่อนอยู่ตามดงดอกไม้ ซึ่งเป็น ตัวเต็มวัย ชีวิตของผีเสื้อจึงแบ่งออกได้เป็น 4 ระยะ อย่างไรก็ดี เราไม่อาจบอกได้ว่า ชีวิตของผีเสื้อในแต่ละระยะคงอยู่เป็นเวลานานเท่าไร ก่อนที่มันจะเปลี่ยนแปลงไปเป็นอีกระยะหนึ่ง
ทั้งนี้เพราะระยะเวลาในแต่ละระยะของผีเสื้อแต่ละชนิดจะแตกต่างกันไป ไม่แน่นอน และยังขึ้นอยู่กับอุณหภูมิ และสภาพภูมิอากาศในแต่ละท้องที่อีกด้วย แม้กระนั้น เคยมีนักวิชาการบันทึกไว้ว่า ผีเสื้อในเขตร้อนของโลกนั้น จะคงอยู่ในระยะของ ไข่ ราวแค่ 3 วันเท่านั้น ระยะ ตัวแก้ว เป็นเวลาถึง 8 วัน และระยะ ดักแด้ เป็นเวลาราว 7 วัน ดังนั้น กว่าผีเสื้อจะได้มีชีวิตบินร่อนไปร่อนมา เพื่อหาน้ำหวานจากดอกไม้ มันต้องใช้เวลารวมแล้วไม่ต่ำกว่า 18 วัน นับจากเริ่มเป็นไข่
ส่วนในเขตอบอุ่นนั้น ระยะเวลาตั้งแต่เริ่มเป็นไข่ จนกระทั่งกลายเป็นผีเสื้อ เป็นเวลาราว 8 สัปดาห์ สำหรับผีเสื้อชนิดที่เจริญเติบโตเร็ว แต่สำหรับผีเสื้อชนิดที่เจริญเติบโตช้า ระยะเวลาของวรจรชีวิตจะนานกว่านี้ และมีผีเสื้อหลายชนิดทีเดียวที่มีวงจรชีวิตเท่ากับระยะเวลาหนึ่งปีเต็ม ด้วยเหตุนี้ อย่างน้อยระยะใดระยะหนึ่งของมันจะต้องอยู่ในสภาวะ " จำศีล" ในฤดูหนาว ที่เรียกกันว่า hibernation สำหรับในประเทศเขตร้อนนั้น ผีเสื้อบางชนิด บางทีบางระยะหนึ่งของมันอาจต้อง " จำศีล" ในฤดูร้อน ที่เรียกกันว่า aestivation ด้วยระยะไข่

หลังจากผีเสื้อตัวเมียได้รับการผสมพันธุ์จากตัวผู้แล้วสักระยะหนึ่ง ไข่ที่มีอยู่จะได้รับการผสมพร้อมที่จะวางไข่ออกมา ตัวเมียจะเสาะหาพืชอาหารที่เหมาะสมกับตัวหนอน โดยการเกาะลงบริเวณใบพืช ทดสอบโดยการแตะด้วยปลายท้องถ้าไม่ใช่พืชที่ต้องการ ก็จะบินไปเรื่อยๆ จนพบ เมื่อพบแล้วจะค่อยๆ ยืดส่วนท้องลงวางไข่ไว้ใต้ใบ แต่บางชนิดวางไข่ทางด้านหลังใบ ส่วนมากจะวางไข่ฟองเดียว พวกผีเสื้อตัวหนอนกินใบหญ้าจะปล่อยไข่ลงสู่ป่าหญ้าเลย ผีเสื้อกลางคืนที่วางไข่เป็นกลุ่ม บางครั้งมีขนจากลำตัวปกคลุมเอาไว้
ไข่ของผีเสื้อมีรูปร่างและสีแตกต่างกันตามวงศ์ จึงอาจบอกวงศ์ของมันได้โดยการดูจากไข่ ผีเสื้อหนอนกะหล่ำมีไข่รูปร่างเหมือนขวดทรงสูงสีเหลืองหรือสีส้ม ผีเสื้อขาหน้าพู่วางไข่รูปร่างเกือบกลม สีเขียว มีสันพาดตามยาว พวกที่ไข่รูปร่างกลมแบน สีขาว มีจุดดำตรงกลาง ได้แก่ พวกผีเสื้อสีน้ำเงิน จุดดำดังกล่าวเป็นช่องที่เชื้อตัวผู้เข้าผสม เรียกว่า ไมโครไพล์ (micropyle) พวกผีเสื้อบินเร็วมีไข่หลายแบบ อาจจะมีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า หรือกลม โค้ง แบน คล้ายผีเสื้อหางติ่ง แต่ไข่ของผีเสื้อพวกหลังนี้สีเหลือง กลมและมีขนาดใหญ่กว่าผีเสื้ออื่นๆ
ระยะตัวหนอน
ตัวหนอนของผีเสื้อมีลักษณะแตกต่างกันออกไปตามวงศ์และสกุล ส่วนมากไม่มีขนปกคลุมเหมือนหนอนของผีเสื้อกลางคืน ตัวหนอนมีสีสด หรือสีสันกลมกลืนไปกับพืชอาหารอาหารมื้อแรกของตัวหนอนหลังจากฟักออกจากไข่ คือ เปลือกไข่ที่เหลืออยู่ อาจเพื่อกลบเกลื่อนร่องรอย หรือในเปลือกไข่มีสารบางอย่างที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโต เมื่อออกมาใหม่ๆ มักอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม และลอกกินผิวใบพืชจนเกิดเป็นช่องใส ต่อมาจะค่อยๆ กระจายกันออกไป การกัดกินมักกินจากขอบใบเข้ามาหากลางใบ
รูปร่างของหนอนแตกต่างกันไปมาก คือ หนอนผีเสื้อดอกรัก ตัวมีลายพาดขวางตัวสีเหลืองสลับดำ และมีขนยาวอีก๒-๔ คู่ ส่วนหนอนผีเสื้อสีตาลมีลำตัวยาวเรียวไปทางปลายหัวและปลายหาง มีลายขีดสีน้ำตาลตามยาว คล้ายใบหญ้าหรือใบหมากที่เป็นพืชอาหาร หนอนที่มีหนามยื่นออกรอบตัวเป็นหนอนพวกผีเสื้อขาหน้าพู่ พวกผีเสื้อสีน้ำเงินกินพืชตระกูลถั่วและไม้ผลต่างๆ ตัวหนอนลักษณะกลมๆ พองออกตอนกลางตัว หัวซ่อนอยู่ข้างใต้ตัว
หนอนบางพวกมีการป้องกันอันตรายจากพวกนก และศัตรูอื่นๆ เช่น หนอนของผีเสื้อหางติ่ง มักมีจุดคล้ายดวงตากลมอยู่บริเวณตอนใกล้หัว มันจะพองส่วนนี้ออกเวลามีอันตราย ทำให้จุดดวงตานี้ขยายโตออก และยังมีอวัยวะสีแดงรูปสองแฉกอยู่ด้านหลังของส่วนหัว เรียกว่า ออสมีทีเรียม (osmeterium)อวัยวะขยายออกได้โดยใช้แรงดันของเลือด สามารถส่งกลิ่นเหม็นออกมาใช้ไล่ศัตรูได้ บางพวกก็ชักใยเอาใบไม้ห่อหุ้มตัวไว้หรือเอาวัตถุอื่นๆ ทั้งใบไม้แห้งและมูลของมันมากองรวมกันบังตัวเอาไว้
หนอนของผีเสื้อบางชนิดไม่กินพืช แต่กินอาหารที่แปลกออกไป คือ ผีเสื้อดักแด้หัวลิง (Spalgis epeus) กินพวกเพลี้ยเกล็ด (scale insects) ผีเสื้อหนอนกินเพลี้ย (Miletus chinensis) กินพวกเพลี้ยอ่อน (aphids)ส่วนผีเสื้อมอท (Liphyra brassolis)ตัวหนอนอาศัยอยู่ในรังของมดแดง (Oecophylla smaragdina)และกินตัวอ่อนของมดแดงเป็นอาหาร
ระยะลอกคราบ
          หนอนจะเติบโตขึ้นได้ต้องมีการลอกคราบหลายครั้ง ส่วนมากผีเสื้อจะลอกคราบประมาณ ๔-๕ ครั้ง เหตุที่ต้องลอกคราบ เนื่องจากตัวหนอนมีผนังลำตัวหุ้มห่ออยู่ภายนอก เมื่อเติบโต ขึ้นเรื่อยๆ จะเติบโตคับผนังลำตัวที่ห่ออยู่ กรรมวิธีในการลอกคราบจะเริ่มเมื่อหนอนชักใยยึดลำตัวไว้กับพื้นที่เกาะ ก่อนการลอกคราบราว ๒๔ ชั่วโมง ต่อมาผนังลำตัวจะปริแตกออกทางด้านหลังของหัว หนอนจะค่อยๆ คืบไปข้างหน้าอย่างช้าๆจนหลุดออกจากคราบ ผนังลำตัวใหม่มีสีสดใสกว่าเก่า ตัวหนอนจะดูมีหัวโตกว่าส่วนลำตัว ระยะแรก มันจะอยู่นิ่งราว ๒-๓ชั่วโมง จนกระทั่งผนังลำตัวและส่วนปากแข็งพอที่จะกัดใบพืชอาหารได้ ระยะนี้เป็นระยะที่อันตรายต่อตัวหนอนมาก เนื่องจากมันอยู่ในสภาพที่อ่อนแอป้องกันตัวเองไม่ได้ระยะดักแด้


เมื่อหนอนลอกคราบจนครบ และเติบโตเต็มที่แล้ว จะหยุดกินอาหาร หาที่หลบซ่อนตัวพักอยู่อย่างนั้นสัก ๑๒ ชั่วโมงหรืออาจนานกว่า ระหว่างนี้จะสร้างแผ่นไหมเล็กๆที่ปลายลำตัวเพื่อใช้ขอเล็กๆ เกี่ยวเอาไว้ให้มั่นคง ก่อนลอกคราบครั้งสุดท้ายเป็นดักแด้

หนอนที่จะลอกคราบ จะสูบเอาอากาศเข้าสู่ภายในตัวเกิดรอยปริแตกขึ้นทางด้านหลังของส่วนอก แล้วรอยปริจะแตกเรื่อยไปสู่ปลายลำตัว เมื่อคราบลอกออกไปแล้ว ผิวหนังที่อยู่ภายในอีกชั้นหนึ่งจะห่อหุ้มให้มีรูปร่างเป็นตัวดักแด้ แต่ยังนุ่มและมีสีจาง ต้องใช้เวลาอีกหลายชั่วโมง จึงจะแข็งตัวและสีจะเข้มขึ้น

ลักษณะของดักแด้ผีเสื้อพอจะแยกออกได้เป็น ๓ แบบคือ พวกห้อยหัวลง พวกนี้ใช้ขอเล็กๆ ที่ปลายลำตัวเกี่ยวไว้กับแผ่นไหมเล็กๆ แล้วห้อยหัวลง พบในดักแด้ของผีเสื้อหนอนรักและผีเสื้อขาหน้าพู่ พวกที่สอง นอกจากมีขอเกี่ยวที่ปลายลำตัวแล้ว ยังมีสายใยเล็กรัดรอบตัวช่วยพยุงดักแด้เอาไว้กับที่เกาะได้แก่ ดักแด้ของผีเสื้อหางติ่ง และผีเสื้อหนอนกะหล่ำ พวกสุดท้ายเป็นดักแด้ที่ไม่มีอะไรยึดกับวัตถุที่เกาะ แต่จะวางราบบนพื้นดิน หรืออยู่ในม้วนใบไม้ที่ยึดติดกันเป็นหลอด หรืออยู่ในรังไหม เช่น ดักแด้ของผีเสื้อสีตาลบางชนิด ดักแด้ของผีเสื้อบินเร็ว และดักแด้ของผีเสื้อกลางคืนส่วนมาก

เนื่องจากดักแด้เป็นระยะที่อยู่นิ่ง เกิดอันตรายจากศัตรูได้ง่าย ดักแด้จึงมีสี และรูปร่างกลมกลืนกับสภาพแวดล้อม บางชนิดมีรูปร่างคล้ายกิ่งไม้หัก บางชนิดมีลักษณะใบไม้แห้ง การที่หนอนซึ่งดูน่าเกลียดมีหนามและขนปกคลุมตัว กลายสภาพมาเป็นดักแด้ที่อยู่นิ่งเฉย ไม่กินอะไรเลย จึงเป็นเรื่องประหลาดทางธรรมชาติมาก
ระยะตัวเต็มวัย


พอดักแด้มีอายุประมาณ ๗-๑๐ วัน เมื่อใกล้จะออกมาเป็นผีเสื้อ เราจะเห็นสีของปีกผ่านทางผนังลำตัวได้ ผีเสื้อที่โตเต็มที่แล้ว จะใช้ขาดันเอาเปลือกดักแด้ให้แตกออก แล้วดันให้ปริออกทางด้านหลังของส่วนอก ค่อยๆขยับตัวออกมาจนพ้นคราบดักแด้ ส่วนมากมักออกมาโดยการห้อยหัวลง เพื่อใช้แรงดึงดูดของโลกช่วย ตอนออกมาใหม่ๆ ผีเสื้อมีส่วนท้องใหญ่และปีกยู่ยี่เล็กนิดเดียว มันจะคลานไปหาที่เกาะยึด แล้วห้อยปีกทั้งสองลงข้างล่าง ระหว่างนี้มันจะปล่อยของเหลวสีชมพูอ่อนทางปลายส่วนท้อง สารนี้เป็นของเสียที่เกิดขึ้นในขณะที่เป็นดักแด้เรียกว่า มิวโคเนียม (muconium) ผีเสื้อจะดูดเอาอากาศจำนวนมากเข้าไปทางงวงและรูหายใจ แรงดันของอากาศและการหดตัวของกล้ามเนื้อ จะอัดดันให้เลือดไหลไปตามเส้นปีกปีกจึงขยายออกจนโตเต็มที่ การขยายปีกออกนี้กินเวลาประมาณ๒๐ นาที มันต้องผึ่งปีกให้แห้งแข็งดีเสียก่อนราวชั่วโมงครึ่งจึงจะออกบินไปหากินต่อไป



 

การดำรงชีวิตของแมลง

โลกของแมลง
 

           ความเป็นมาและการดำรงชีวิตของแมลง เมื่อประมาณ 300 ล้านปีมาแล้ว โลกเริ่มมีป่าไม้และหนองน้ำใหญ่บนแผ่นดิน ระยะนี้เองที่ได้เกิดมีแมลงขึ้นบนโลก แมลงชนิดแรกได้แก่ แมลงปอและแมลงสาบ แมลงในสมัยนั้นมีขนาดใหญ่จนอาจเรียกได้ว่า “แมลงปอยักษ์” เพราะมีความยาววัดจากปลายปีกถึง 20 เซนติเมตร ส่วนแมลงสาบก็อาจถือได้ว่าเป็นบรรพบุรุษของแมลงสาบปัจจุบัน เพราะมีรูปร่างและนิสัยเหมือนกันไม่ได้เปลี่ยนไปเลย เนื่องจากแมลงเป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง เนื้ออ่อนนุ่มนิ่ม ปีกบางใส ฟอสซิลของแมลงโบราณ ซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญจึงได้หายากยิ่ง หลักฐานเกี่ยวกับแมลงโบราณที่พอจะหาได้ คือ ซากของแมลงในก้อนอำพันซึ่งมีอายุ 60 ล้านปี

วงจรชีวิตของแมลง
วงจรชีวิตของแมลง หมายถึงการเปลี่ยนแปลงรูปร่างของแมลง ตั้งแต่ระยะแรกถึงระยะสุดท้าย โดยจะแบ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงรูปร่าง 2 แบบ คือ การเปลี่ยนแปลงรูปร่างแบบสมบูรณ์ และการเปลี่ยนแปลงรูปร่างที่ไม่สมบูรณ์ จะทำให้เกิดการขยายพันธุ์ ให้แมลงยังคงอยู่ตลอดไป
1. การเปลี่ยนแปลงรูปร่างแบบสมบูรณ์ มีการเปลี่ยนแปลง 4 แบบ คือ ไข่ ตัวอ่อน ดักแด้ และตัวเต็มวัย ทั้งสี่แบบนี้ จะมีรูปร่างไม่เหมือนกัน ตัวอ่อนจะแตกต่างจากพ่อแม่มาก ตัวอ่อนจะกินอาหารแตกต่างจากพ่อแม่ และลอกคราบหลายครั้ง เมื่อเจริญเต็มที่ก็จะหยุดกินอาหาร และเปลี่ยนรูปเป็นดักแด้ ในระยะนี้ แมลงบางชนิดจะปั่นไยไหมห่อหุ้มตัวเอง บางชนิดจะมีการเปลี่ยนแปลงเฉพาะบริเวณผิวหนัง โดยที่ผิวหนังที่เคยนิ่ม กลายเป็นปลอกแข็งหุ้มตัว ในระหว่างที่มันหยุดนิ่งเฉยนี้จะมีการเปลี่ยนรูปร่างลักษณะไปเป็นแมลงที่สมบูรณ์เต็มที่ เมื่อการเจริญครบกำหนดเวลาแมลงภายในใยไหมหรือปลอกดักแด้ก็จะเจาะออกมาเป็นแมลงที่โตเต็มที่ แมลงส่วนใหญ่จะเจริญเติบโตโดยการเปลี่ยนรูปร่างแบบสมบูรณ์ เช่น ผีเสื้อกลางวัน ผีเสื้อกลางคืน แมลงช้าง แมลงวัน เป็นต้น
2. การเปลี่ยนแปลงรูปร่างแบบไม่สมบูรณ เมื่อไข่ฟักออกมาแล้วจะกลายเป็นตัวอ่อนที่มีรูปร่างใกล้เคียงพ่อแม่ แต่ไม่มีปีก และมักจะมีนิสัยตลอดจนที่อยู่อาศัยต่างจากพ่อแม่ด้วย พวกแมลงโบราณ ซึ่งเป็นแมลงชนิดที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างไปจากต้นตระกูลซึ่งเกิดขึ้นในโลก เมื่อหลายร้อยล้านปี ไข่ของแมลงดังกล่าวนี้เมื่อฟักออกมาแล้ว จะกลายเป็นตัวอ่อนที่มีรูปร่างเหมือนพ่อแม่ ผิดแต่มีขนาดเล็กกว่าเท่านั้น ตัวอย่างของแมลงพวกนี้ได้แก่ ตัวสามง่าม


วันศุกร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

การดำรงชีวิตของสัตว์

การดำรงชีวิตของสัตว์
ปัจจัยการดำรงชีวิต       
                             

            สัตว์ต้องการอาหาร  เพื่อการเจริญเติบโต 
    สามารถเคลื่อนไหวและทำงานได้
            สัตว์ต้องการน้ำ น้ำเป็นส่วนประกอบสัตว์ต้องการที่อยู่  ที่อยู่ของสัตว์มีทั้งบนบกบน     พื้นดิน บนต้นไม้ ในรู ที่ลำต้นของต้นไม้  ในน้ำที่สำคัญของร่างกาย และเป็นปัจจัยสำคัญของสิ่งมีชีวิต
          สัตว์ต้องการอากาศ เพื่อหายใจ สัตว์บกได้อากาศจากสิ่งแวดล้อมรอบตัว สัตว์น้ำได้     อากาศทั้งในน้ำ
และอากาศเหนือน้ำโดยการโผล่ขึ้นมาหายใจ
          สัตว์ต้องการอาหาร น้ำ อากาศ อย่างพอเพียงและเหมาะสม
เพื่อการดำรงชีวิตอยู่ได้

 


 

 

การดำรงชีวิตของพืช

การดำรงชีวิตของพืช

                 ราก เป็นโครงสร้างที่ทำหน้าที่ดูดน้ำ และธาตุอาหารนอกจากนั้นยังมีรากบางชนิดที่ทำหน้าที่เก็บสะสมอาหารอีกด้วย เช่น มันเทศ มันแกว แครอท กระชาย เป็นต้น
รากของพืชบางชนิดทำหน้าที่หายใจ เช่น รากไทร รากกล้วยไม้ รากสะเตียว รากอ้ายบ่าว รากบางชนิดทำหน้าที่เป็นรากค้ำยันหรือรากค้ำจุน และเป็นรากหายใจด้วย เช่น รากโกงกาง รากเสม็ด รากแสม เป็นต้น


ลำต้น เป็นโครงสร้างที่ทำหน้าที่ลำเลียงน้ำ และธาตุอาหารไปยังส่วนต่างๆ ของพืช นอกจากนั้นยังมีลำต้นบางชนิดที่อยู่ในดินจะทำหน้าที่เก็บสะสมอาหารอีกด้วย เช่น เผือก มันฝรั่ง ขิง ข่า เป็นต้น
ลำต้นกับรากต่างกัน คือ ลำต้นจะมีข้อปล้อง และ ตา ส่วนรากจะไม่มีข้อ ปล้อง ตา

เนื้อเยื่อลำเลียงน้ำ ของพืชเป็นท่อลำเลียงน้ำและธาตุอาหารจากรากขึ้นไปตามลำต้น กิ่ง ก้าน และใบ นอกจากนี้ยังมีเนื้อเยื่อลำเลียงอาหาร เป็นท่อลำเลียงอาหาร จะลำเลียงอาหารที่พืชสร้างขึ้นไปเลี้ยงยังส่วนต่างๆ ทำให้พืชมีการเจริญเติบโตหรือสร้างส่วนต่างๆ ของพืชได้


sec.gif


ใบ ทำหน้าที่สร้างอาหาร อาหารที่สร้างขึ้นคือ น้ำตาลแล้วเปลี่ยนเป็นแป้ง บริเวณที่มีแป้งนั้น เมื่อทดสอบด้วยสารละลายไอโอดีน จะเปลี่ยนสีจากสีน้ำตาลเป็นสีน้ำเงินเข้มหรือม่วงคล้ำ การสร้างอาหารของพืชต้องใช้ น้ำ แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ แสง และสารสีเขียวในใบพืชเรียกว่าคลอโรฟิลล์ นอกจากน้ำตาลแล้ว ยังได้แก๊สออกซิเจน และน้ำออกมาด้วย อาหารที่พืชสร้างขึ้นจะลำเลียงไปยังส่วนต่างๆ ของพืช และเก็บสะสมไว้ตามราก ลำต้น ใบ ฯลฯ

ใบของพืชนอกจากจะทำหน้าที่หลัก คือ สร้างอาหารแล้ว ยังทำหน้าที่คายน้ำ ซึ่งการคายน้ำนั้นจะเป็นประโยชน์ต่อพืช คือ ทำให้เกิดการลำเลียงน้ำ และธาตุอาหารจากส่วนล่างขึ้นไปสู่ส่วนบนของพืช หรืออาจเกิดจากดินเข้าสู่รากได้เพิ่มขึ้น นอกจากนี้การคายน้ำ ยังเป็นการลดอุณหภูมิที่ใบด้วย